ไวน์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผ่านกระบวนการหมักผลไม้ชนิดต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้องุ่นมาหมักกับยีสต์ แล้วยีสต์ทําการเปลี่ยนน้ําตาลที่อยู่ในน้ําองุ่นเป็นแอลกอฮอล์ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ โดยไวน์จะมีแอลกอฮอล์อยู่ประมาณ 9-15% และด้วยความที่ใช้วัตถุดิบหลักเป็นองุ่น ซึ่งมีสรรพคุณ และสารที่มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรสเวอราทรอล (Resveratrol) เควอซิทิน (Quercetin) ไพซีแทนอน (Piceatannol) และสารกลุ่มโอพีซี OPC (Oligomeric proanthocyanidins) เป็นต้น และสารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก ดังนี้

 

ไวน์ (wine) คืออะไร?
ไวน์ (wine) หมายถึง เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ที่ได้จากการหมักน้ำผลไม้ กับยีสต์ โดยควบคุมการหมักอย่างเหมาะสม ไวน์ที่ดื่มกันในท้องตลาด มีมากมายหลายชนิด อาจเรียกชื่อตามประเภทของผลไม้ชื่อผู้ผลิต หรือปริมาณของแอลกอฮอล์เป็นเกณฑ์ เช่น ไวน์แอปเปิล ไวน์มังคุด ไวน์หม่อน เป็นต้น แม้แต่ผักบางชนิด ก็สามารถที่จะหมักทำเป็นไวน์ได้ ซึ่งมีรสที่แตกต่างกันไป

 

ประโยชน์ของไวน์

 

ไวน์(Wine) เครื่องดื่มยอดนิยมทั่วโลก ที่มีรสชาติแตกต่างกันไปตามแหล่งผลิต ระยะเวลาการบ่ม รวมไปถึงชนิดของไวน์ ไม่ว่าจะเป็น ไวน์แดง (Red Wine) ไวน์ขาว (White Wine) ไวน์โรเซ่ (Rose Wine) เป็นต้น หลายคนสงสัยว่า ไวน์ จะมีประโยชน์ได้อย่างไร ดื่มไวน์เพื่อสุขภาพได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั้นเพราะวัตถุดิบหลักอย่าง องุ่น เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณมากมาย ที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง และลดภาวะเสี่ยงจากโรคร้ายได้อีกด้วย การดื่มไวน์จึงให้ประโยชน์ได้ ดังนี้

 

1) ชะลอความแก่ Anti Aging
ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระในไวน์แดง ช่วยป้องกันร่างกายจากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ และจะชะลอกระบวนการชรา ไวน์แดง มีความเข้มข้นของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่เรียกว่า โพลี มากกว่า เมื่อเทียบกับน้ำองุ่น  

นักวิจัยสเปน แนะนำว่า การดื่มไวน์แดง อาจช่วยชะลอความแก่ หลังพบสารเมลาโทนินในผิวองุ่น รวมถึงอาหารอีกหลายชนิด เช่น หอมหัวใหญ่ ข้าว และเชอรี่ สามารถปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย ตามอายุขัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งควรจะเริ่มกินตั้งแต่อายุย่างเข้า 30 ปี เพราะไวน์แดง ชะลอความแก่ ได้จริง แล้วยังช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจ แต่ก็ควรที่จะดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเช่นกัน

2) ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
สารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) ในไวน์ ช่วยให้หัวใจแข็งแรง สารดังกล่าว ทำหน้าที่เปลี่ยนระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือด เลือดไม่เกาะกันเป็นก้อน ลดปัญหาการอุดสันในเส้นเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงที่เกิดโรคหัวใจได้ 30-40 %

การดื่ม ไวน์แดง ในปริมาณที่พอเหมาะ อย่างสม่ำเสมอทุกวัน เหมือนที่ชาวฝรั่งเศสปฏิบัติกันเป็นปกตินิสัย ทำให้ชาวฝรั่งเศส มีอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ  และโรคหัวใจล้มเหลวลดลงถึง 50%
ส่วนการดื่ม ไวน์ขาว นอกจากจะเป็นเครื่องดื่มที่สร้างความสดชื่นให้กับร่างกายแล้ว ยังทำให้อาหารทะเลมีรสชาติถูกปากอร่อยลิ้น ที่สำคัญมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร และสามารถกำจัดพิษจากอาหารทะเล ที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหารได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง
3) ลดและป้องกันมะเร็ง
สารเรสเวอราทรอล (Resveratrol) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ซึ่งพบได้ในองุ่น ราสเบอร์รี ถั่วลิสง และพืชอื่น ๆ มีหลักฐานว่า เรสเวราทรอลนั้น ลดอนุมูลอิสระ และลดอัตราการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง รวมทั้งลดการเจริญเติบโตของมะเร็ง ในถาดเพาะเชื้อได้ นอกจากนั้น ยังลดสารเอ็นเอฟ แคปปา บี (NF kappa B) ซึ่งเป็นโปรตีน ที่สร้างโดยระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นอีกด้วย ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ดื่มไวน์ต้านมะเร็งได้

4) ลดปริมาณคอเลสเตอรอล
ในไวน์แดง มีแทนนิน หรือความฝาด ซึ่งนอกจากจะป้องกันการเกิดโรคหัวใจแล้ว ยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด หากมีคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดมาก ๆ อาจทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดผิดปกติได้


5) ช่วยในการย่อย
อาหารประเภททอด อาหารแปรรูป จะมีสาร Malonaldehydes ซึ่งสารเหล่านี้ ส่งผลร้ายต่อระบบทางเดินอาหารให้แก่ร่างกาย มีการศึกษาพบว่า การดื่มไวน์แดง กับอาหารดังกล่าว ช่วยลบล้างสารเหล่านี้ได้ ถึงร้อยละ 60-70 ดังนั้น ความสามารถในการช่วยการทำลายสารเหล่านี้ ก็เป็นประโยชน์ในการย่อยอาหาร

6) ช่วยในลด และคลายความเครียด
ไวน์ช่วยเรื่องความเครียดได้ ไวน์เป็นยากล่อมประสาทชนิดหนึ่ง ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย จึงช่วยลดความเครียด หรือคลายกังวล ทำให้นอนหลับพักผ่อนได้ยาวนานขึ้น 

7) ป้องกันโรคความจำเสื่อม
นักวิจัยพบว่า ไวน์แดง ช่วยลดความจำเสื่อมได้ โดยสาร สารเรสเวอราทรอล (Resveratrol)  ในไวน์แดง มีผลในการป้องกันการเสื่อมของสมอง

ทีมงานวิจัยได้ศึกษาคอไวน์ 7,983 คน ซึ่งดื่มไวน์เป็นประจำ วันละ 1-3 แก้ว ระหว่างปี 1990-1999 พบว่าบุคคลดังกล่าว ไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ และ โรคพาร์กินสันแต่อย่างใด      

8) สุขภาพเหงือก และฟัน
ไวน์มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียในช่องปาก และนอกจากนี้ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า สารโพลีฟีน เป็นสารธรรมชาติที่พบในเมล็ดองุ่น และไวน์แดง จะมีคุณสมบัติ ช่วยในการต้านการอักเสบ ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียของเหงือก หรือเหงือกอักเสบ

9) ไวน์ช่วยป้องกันโรคหวัด
ส่วนประกอบที่มีอยู่ในไวน์ ช่วยป้องกันหวัดได้ ศูนย์โรคหวัดแห่งมหาวิทยาลัย คาร์ดีฟ เคยมีรายงานว่า คุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารแอนตี้ออกซิแดนท์ อาจทำให้ไวน์แดง สามารถป้องกันหวัดได้ และยังมีผลการวิจัยอาสาสมัคร 4,000 คน เป็นเวลา 1 ปีพบว่า ผู้ที่ดื่มไวน์แดง มากกว่าวันละ 2 แก้ว เป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มไวน์เลยถึงร้อยละ 44

 

ปัจจุบัน เราจำแนกไวน์ (Wine) ออกเป็น 5 สไตล์หลัก ได้แก่ ไวน์ขาว (White Wine) ไวน์แดง (Red Wine) ไวน์โรเซ่ (Rose Wine) ไวน์หวาน (Dessert Wine) และไวน์สปาร์คกลิ้ง (Sparkling Wine)

 

วิธีเก็บรักษาไวน์ ทำอย่างไรได้บ้าง?

  • อุณหภูมิ : อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดในการเก็บไวน์ อยู่ที่ประมาณ 18-25 ̊C เพราะจะทำให้ไวน์ mature เร็วขึ้นจนกลายเป็นน้ำส้มสายชู ไม่ควรเก็บไว้ในที่ที่มีความเย็นจัด ถึงแม้ว่าจะไม่ทำให้เสีย แต่ความเย็นมากเกินไป อาจจะทำให้กลายเป็นน้ำแข็งได้
  • แสง : ควรเก็บให้พ้นจากความร้อน และแสงแดด ห้องเก็บไวน์ ไม่ควรมีแสงสว่างมากเกินไป จะทำให้มีผลเสียต่อรสชาติ เพราะฉะนั้น ไวน์แดง จึงนิยมผลิตขวดที่มีสีเข้ม บางครั้งเป็นสีดำ และนิยมห่อขวดด้วยกระดาษ
  • ความชื้น : ก็มีผลต่อการเก็บรักษาเช่นกัน ยิ่งไวน์ที่มีจุกคอร์ก เพราะถ้าความชื้นในอากาศน้อยกว่า 50% จุกคอร์กจะแห้งกรอบ และหดตัว อากาศจากภายนอกเข้าไปสัมผัสจนเกิดการ Oxidation รสชาติจะเปลี่ยนไป และเสียเร็วขึ้น แต่ถ้าความชื้นเกินไป ก็จะทำให้ฉลากของไวน์ที่เก็บไว้เปื่อยยุ่ยจนเกิดความเสียหายได้ ควรเก็บไว้ในที่มืด และเงียบ เวลาเก็บควรวางในแนวนอน เพื่อป้องกันจุกคอร์กแห้ง
ในการเก็ฐรักษาไวน์ ขอแนะนำ ตู้เเช่ไวน์ / ตู้เก็บไวน์ ของ SGE ช่วยเก็บรักษาถนอมรสชาติของไวน์ไว้ได้นาน เป็นตัวช่วยการเก็บรักษาเเละถนอมรสชาติไวน์ให้อยู่ได้นานที่สุด สามารถตั้งค่าอุณหภูมิให้เหมาะกับไวน์เเต่ละชนิดได้ พร้อมทั้ง ตู้แช่ไวน์ ยังมีระบบป้องกันไม่ให้ไวน์เเข็งตัวเป็นน้ำเเข็ง