มร. เมอร์เรย์ ดาร์ลิ่ง กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ไทยแลนด์ เปิดเผยว่า “Product, Partner และ Place คือ Key Success Factors ที่เรา Focus มาตลอดระยะเวลา 12 ปี ซึ่งผลของการดำเนินงานทั้งในแง่ของยอดขาย, ความแข็งแกร่งของแบรนด์ รวมไปถึงความพึงพอใจของพนักงานนั้นอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยเราสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 1 ล้านแก้วต่อเดือน นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบว่าการรับรู้ของแบรนด์ Starbucks เพิ่มสูงขึ้นจาก 3 ปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด”
ในแง่พฤติกรรมของผู้บริโภคจะเห็นว่า กระแส Coffee Shop นั้นยังคงมาแรงไม่หยุด ผู้บริโภคนิยมทานกาแฟนอกบ้านมากขึ้น โดยจากผลสำรวจของ MillwardBrown พบว่า คนออกมาทานกาแฟนอกบ้าน (Away From Home) เพิ่มขึ้นถึง 60% เฉลี่ยคิดเป็นจำนวน 5 แก้วต่อสัปดาห์ และในจำนวนนั้นเป็นกาแฟ Starbucks ถึง 3 แก้ว เพิ่มจากจำนวน 2 แก้วเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า Starbucks นั้นเป็นตัวเลือกอันดับ 1 ที่ผู้บริโภคนึกถึง
มร.เมอร์เรย์ กล่าวเสริมว่า “ผู้บริโภคปัจจุบันได้รับการ Educate และซึมซับวัฒนธรรมการดื่มกาแฟมากขึ้น จึงเริ่มมองหาสิ่งที่ดีกว่า ดังนั้น เราจึงต้องมีการพัฒนา Product Line Up ที่หลากหลายขึ้น เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค เช่น มีการออก Seasonal Menu ปีละประมาณ 6 ครั้ง โดยเมนูพิเศษจะคิดเป็นประมาณ 15-20% ของเครื่องดื่มหลัก”
“นอกจากนี้ แม้ Focus หลักของเราจะอยู่ที่กาแฟเป็นหลัก แต่ก็ควรที่จะต้องมีการ Diversify ไปยังอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆที่ไม่ใช่กาแฟเพื่อเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายขึ้นให้กับผู้บริโภค โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของเครื่องดื่มอยู่ที่ 85% ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากกาแฟถึง 65% และที่เหลือเป็นรายได้จากอาหารและขนม”
นอกจากนี้ Starbucks ยังยึดหลัก “Shared Planet” ในการทำธุรกิจ เช่น การแบ่งรายได้ 5% ให้เกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดกาแฟ “ม่วนใจ๋” ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อน Model ของสาขาใหม่ๆให้เป็น “Green Store” หรือร้านเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสาขาใหม่ที่จะเปิดในปีหน้าจะเป็น “Green Store” ทั้งหมด และจะมีการ Renovate สาขาเก่าๆควบคู่กันไป โดยเชื่อมั่นว่า Starbucks ทุกสาขาจะกลายเป็น “Green Store” ภายในระยะเวลา 5 ปีอย่างแน่นอน
